คราวนี้ผมกลับมาพร้อมกับคำศัพท์ที่คนที่ไม่ใช่นักการตลาดดิจิทัลอาจจะไม่รู้จัก คำว่า Pillar (เสาหลัก) กับ Cluster (กลุ่มก้อน) อาจฟังดูเหมือนเรื่องสถาปัตยกรรมกรีกและโรมัน ซึ่งก็ฟังดูเท่ดี แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังจะพูดถึงแต่อย่างใด เพราะเรากำลังจะพูดถึงกลยุทธ์การตลาดในการสร้างคอนเทนต์รูปแบบหนึ่ง
การสร้างคอนเทนต์แบบ Pillar และ Cluster คืออะไร
พูดง่าย ๆ ก็คือ Pillar Content หมายถึงภาพรวมของหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง เป็นกลยุทธ์การทำคอนเทนต์ที่ออกแบบมาเป็นกรณีพิเศษที่ไม่ได้แค่สร้างคุณค่าให้กับ user แต่ยังได้อันดับที่ดีในเสิร์ชเอนจิ้นด้วย ยกตัวอย่างที่ดีที่สุดอันหนึ่ง เช่น อาหาร ซึ่งมีมากมายหลายชนิด ทั้งไทย อิตาเลียน อินเดีย ญี่ปุ่น และอีกมากมาย ซึ่งนับว่าเป็นประเภทที่กว้าง ซึ่งคุณเริ่มจากการสร้างหน้าเว็บที่เป็น Pillar บนเว็บไซต์สำหรับเรื่องที่ต้องการเน้นเป็นพิเศษ
ต่อมา การเชื่อมโยง Clusters เข้ากับ Pillar Content คือการครอบคลุมเนื้อหาส่วนที่ย่อยลงไปอีก ซึ่งเราเรียกมันว่าเนื้อหาที่เป็น Cluster เมื่อเชื่อมโยงทั้งหมดไว้ด้วยกัน ก็คือกลยุทธ์การสร้าง Pillar-Cluster Content นั่นเอง โดยหน้าหลัก (pillar) ของเรา ก็จะมีหลายหน้าย่อย (clusters) ซึ่งทั้งหมดนั้นจะเชื่อมโยงกันไว้ด้วย keyword ที่ลิงค์ไปสู่อีกบทความหนึ่ง ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่ต่างจากโครงสร้างสถาปัตยกรรมของเสากรีกเลย เพียงแต่มันไม่ได้ดูเป็นเสาจริง ๆ แต่เป็นโครงสร้างข้อมูลแทนนั่นเอง ถ้าคุณยังสับสนเกี่ยวกับเรื่อง Pillar และ Cluster อยู่ ลองไปดูรูปอธิบายคอนเซ็ปต์ข้างล่างนี้กันดีกว่า
ทำไมคุณควรสนใจเรื่องนี้
อย่างแรกเลย เพราะว่ามันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มยอด Traffic แบบ Organic ได้ดี ดังนั้น ถ้าคุณอยากอยากได้ Traffic เพิ่มด้วยการใช้กลยุทธ์การทำคอนเทนต์ที่เป็นระบบและสามารถขยับขยายได้ในอนาคตล่ะก็ กลยุทธ์นี้จะเป็นประโยชน์ต่อคุณอย่างแน่นอน
อย่างที่สอง การมีโครงสร้างข้อมูลที่แข็งแรงคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำให้ได้อันดับที่ดีใน Organic Search โดยเฉพาะเมื่อเป็นหัวข้อกว้าง ๆ นั่นคือสาเหตุว่าทำไมคุณควรจะสร้างเนื้อหาที่เป็น Cluster ล้อมรอบหัวข้อที่เป็น Pillar
นอกจากนี้ มันยังช่วยสร้างคอลเล็คชั่นของคอนเทนต์ที่ผู้ชมอาจจะสนใจอยากอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมอีกด้วย เนื้อหาที่หลากหลายจากหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งน่าจะทำให้กลุ่มผู้ชมของคุณถูกใจ
ทั้งหมดนี้ทำให้ประสิทธิภาพการทำการตลาดด้วยเสิร์ชเอนจิ้นดีขึ้นและและช่วยให้คุณเลี่ยงการทำคอนเทนต์ที่ซ้ำซ้อนได้ด้วย เห็นมั้ยว่ามีประโยชน์ทุกทางเลย
แล้วจะเริ่มอย่างไร
หากคุณยังไม่เคย แทนที่จะลงมือเขียนทันที ให้ถอยกลับมาสักก้าวหนึ่งแล้ววางแผนก่อนจะเริ่มเขียน เช็คดูให้แน่ใจว่าคุณมีปฏิทินคอนเทนต์ที่ดีเพื่อที่จะนำหัวข้อ Pillar และ Cluster มาผสมผสานกัน SEO เป็นสิ่งที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา และวิธีการของเราก็จำเป็นต้องใช้มันด้วย นี่คือบางสิ่งที่คุณสามารถทำเพื่อตามความเปลี่ยนแปลงให้ทันได้
- เลือกหัวข้อ Pillar: ระดมสมองกับทีมงานแล้วเลือกหัวข้อหลักสำหรับ Pillar กับหัวข้อย่อยทำ Cluster ซึ่งควรจะเป็นอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของคุณ แนวคิดนี้เป็นการยืนยันว่าเนื้อหาของคุณมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณจริง ๆ
- ทำ Keyword Research: ตัดสินใจเลือกหัวข้อย่อยที่เหมาะสำหรับทำ Cluster ซึ่งจะช่วยสนับสนุนหัวข้อ Pillar และเกี่ยวเนื่องกับหัวข้ออื่นในทางใดทางหนึ่ง ขึ้นอยู่กับเนื้อหา Pillar หนทางหนึ่งในการหาหัวข้อ Cluster ก็คือเสิร์ชดูใน Google นี่เอง วิธีที่ง่ายมาก ๆ อย่างหนึ่งคือใช้คำถาม เช่น อะไร เมื่อไหร่ ทำไม อย่างไร คู่กับหัวข้อ แล้ว Google ก็จะให้ข้อมูลแนะนำจำนวนมากกลับมาเอง
- เขียน ใช่แล้วล่ะ เขียนหน้า Cluster ขึ้นมา: เมื่อคุณมีหัวข้อ มี Keyword แล้ว ก็ถึงเวลาสร้างคอนเทนต์ เขียนรายละเอียดเนื้อหาลงไป หน้าเว็บที่เหมาะสำหรับทำ SEO ก็จะมี Keyword อยู่ใน Title, Tags, Image Alternate Text, Meta Title และ Meta Description
- เขียนต่อไป คราวนี้เป็นตาของหน้า Pillar บ้าง: คุณสามารถทำขั้นตอนนี้ในตอนนี้หรือก่อนเขียนหน้า Cluster ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าแบบไหนที่คุณเห็นว่าได้ผลดีกว่ากัน หน้า Pillar ก็คือภาพรวมของหัวข้อหลักและไม่ลงลึกไปในเนื้อหาใดเป็นพิเศษ เหตุผลที่บางคนเก็บไว้เขียนทีหลังหน้า Cluster ก็เพราะว่าช่วยให้หน้า Pillar ไม่มีเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนกันและเป็นเพราะว่าใส่ Internal Link ได้ยากกว่า ซึ่งเรื่องนี้นำไปใสู่ขั้นตอนต่อไป
- การเชื่อมโยงภายในระหว่างหน้า Pillar กับ Cluster: ใช่แล้ว ง่าย ๆ แบบนั้นแหละ แค่กลับไปหาแต่ละห้วข้อของ Cluster และใส่ link เชื่อมโยงหน้า Pillar ที่เหมาะสมกัน วิธีนี้จะช่วยให้ Google จัดเรียงลำดับหน้า Cluster และทำให้ SEO ของทั้งหน้า Pillar และหน้า Cluster ทั้งหมดแข็งแรงขึ้น
Pillar-Cluster และการจัดอันดับบนเสิร์ชเอนจิน
ท่ามกลางปัจจัยมากมาย เช่น Domain Authority (คะแนนคุณภาพของเว็บไซต์) ลิงก์ และความเร็วเว็บ นั้น Google จะจัดอันดับเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยยึดจากคอนเทนต์เป็นหลัก เมื่อเจาะลึกลงไปจะเห็นว่า มันจะจัดอันดับจากการให้คะแนนคุณภาพเนื้อหา ความลึกซึ้งของเนื้อหา และความมีเอกลักษณ์ เป็นต้น แทนที่จะใช้มาตรฐานอื่นอีกมากมายนับพันบนโลก ถ้า Google ระบุตัวตนของเว็บไซต์ไม่ถูกว่าเป็นเว็บเกี่ยวกับอะไร อันดับเว็บไซต์ของคุณก็จะไม่ดี นี่คือส่วนที่กลยุทธ์การสร้างคอนเทนต์ด้วย Pillar-Cluster เข้ามามีบทบาทนั่นเอง เมื่อมีบทความในหน้า Cluster มี Backlink ไปยังหน้า Pillar ก็จะทำให้ Google เข้าใจได้ง่ายขึ้น และทำให้เว็บไซต์นั้นได้อันดับที่ดีขึ้นนั่นเอง
การทำให้เนื้อหาเว็บไซต์เข้ากับหัวข้อ Cluster จะช่วยเพิ่มศักยภาพของ SERP ได้ (ถ้าคุณไม่เข้าใจเหมือนกับผม ลองตามไปอ่านข้อมูลของคำนี้ในลิงก์และอ่านคำอธิบายเพิ่มเติมได้) และแน่นอนว่าช่วยให้ผู้ชมได้รับประสบการณ์การใช้เว็บที่เป็นมิตรมากขึ้นด้วย สุดท้ายนี้ ขอฝากไว้ว่า SEO นั้นพัฒนาอยู่ตลอดเวลาและไม่ได้เข้าใจง่ายหรือนำไปใช้ได้ง่ายเสมอไป หากคุณมีคำถามหรืออยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้และกำลังเริ่มใช้กลยุทธ์การสร้างคอนเทนต์ด้วย Pillar-Cluster แล้วล่ะก็ สามารถติดต่อทีมงาน Enabler Space ได้เลย