SEO (Search Engine Optimization) อยู่กับเรามา 30 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 1991 และมีการพัฒนาอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หากคุณได้ทำการตลาดดิจิทัลในช่วงแรกๆ ของ SEO ก็จะรู้ว่าเมื่อก่อน content ไม่ได้สำคัญเลย ที่สำคัญคือเรื่องของลิงก์ แต่ทุกวันนี้ content ก็สำคัญ backlink ก็สำคัญเว็บไซต์ structure ก็สำคัญ user experience ก็สำคัญ การทำ SEO ให้สำเร็จ ทำให้เว็บไซต์ของเราสามารถอยู่ในหน้าแรกของ Google ได้มาจากหลายปัจจัยเลย
เรามาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน search engine ได้ดี ทำ SEO ให้สำเร็จในปี 2021 ก่อนอื่นมาเข้าใจกันก่อนว่ามีปัจจัยอยู่ประมาณ 200 กว่าปัจจัยที่เป็นตัวตัดสินว่าเว็บไซต์จะติดอันดับแรงกิ้งในตำแหน่งไหนและหน้าไหนของ Google Search ดูทั้งหมดได้ที่นี่ 200+ SEO Ranking Factors ทั้งนี้ทั้งนั้นแต่ละ factor ก็จะมีน้ำหนัก SEO Score ที่แตกต่างกันไป ถ้าเราไม่สามารถที่จะได้คะแนนเต็มสำหรับทุกๆ ปัจจัยอย่างน้อยๆเราพยายามโฟกัสใน 7 อันที่สำคัญที่สุดตามนี้
#1 – Content Quality – คุณภาพของเนื้อหาบนเว็บไซต์
เป้าหมายและหน้าที่หลักๆของ search engine คือการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้ง่ายและได้ข้อมูลที่แม่นยำที่สุด เพราะฉะนั้นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่ดีกว่า เขียนได้กระชับตรงประเด็น อ่านง่ายให้ข้อมูลครบถ้วน ก็จะมีโอกาสที่จะติดอันดับได้สูงกว่าเมื่อคนค้นหาข้อมูลนั้นๆ
#2 – Backlink – คุณภาพและจำนวนของ Link ที่มาจากเว็บอื่นๆ
ลองมามองในมุมของการทำการตลาดและ branding ทั่วๆไป แบรนด์และสินค้าที่ดีก็จะมีคนคอยแนะนำมีคนคอยพูดต่อๆให้ฟังหรือเรียกกันว่า Word of Mouth สำหรับ search engine และในมุมของ SEO ให้มองว่า backlink นั้นๆแหละคือ Word of Mouth หมายความว่าหน้าสินค้าหรือหน้าบริการที่ได้รับ backlink จาก website อื่นๆที่มีชื่อเสียง reputation ค่อนข้างดี Search engine ก็จะมองว่าเป็นหน้าสินค้าบริการหรือเนื้อหาที่มีคุณภาพดี จึงมีคนแชร์กันต่อๆไปในรูปแบบ backlink และเนื้อหาแบบนี้ก็ควรที่จะได้รับตำแหน่ง ลำดับที่สูงกว่าบน search results
#3 – Website Accessibility and Speed – การเข้าถึงและความเร็วของเว็บไซต์
แน่นอนอยู่แล้วถ้าเว็บไซต์ของเรามีการบล็อค search engine ด้วยเหตุใดก็ตาม เมื่อ search crawler ไม่สามารถเข้ามาเข้าใจถึงเนื้อหาบนเว็บราว และเก็บข้อมูลบนเว็บเราไปเก็บในคลังของ Google ได้ โอกาสที่เว็บไซต์ของเราจะแสดงผลบน search engine ก็จะเท่ากับศูนย์ เพราะเหตุนี้การเข้าถึงของเว็บไซต์ รวมไปเรื่องของความเร็วของเว็บไซต์ในการตอบสนอง request แม้ว่าจะในระดับ host หรือในระดับของการ render ข้อมูลจึงสำคัญ
#4 – Mobile Friendliness – การใช้งานบนมือถือ
ทุกวันนี้ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของ search เกิดขึ้นบนมือถือ เมื่อคนเปลี่ยนมาใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือมากกว่าบน desktop Google เองก็มีการเปลี่ยน อัลกอริทึมการค้นหา เพื่อตอบโจทย์ และคงคุณภาพความแม่นยำของผลเสิร์ชให้แก่ผู้ใช้ เพราะฉะนั้นถ้าเว็บไซต์เรามีเนื้อหาที่ดี มี backlink คุณภาพดีและปัจจัย SEO อื่นๆ ก็มีคะแนนค่อนข้างดี แต่เว็บไซต์เราใช้งานบนมือถือได้ไม่ดี โอกาสที่เราจะติดอันดับเมื่อมีผู้ใช้ search หาข้อมูลบน Google ก็จะไม่ค่อยดี
#5 – Keyword and Search Intent – การ Optimize Keyword เพื่อตอบสนอง Search Intent
Intent แปลว่าเจตนา ทุกวันนี้ Google และ search engine อื่นๆก็มีการพัฒนา algorithm ให้ตอบโจทย์ผู้ใช้ให้ดีขึ้นกว่าเดิมไปเรื่อยๆหนึ่งในวิธีนั้นคือการใช้ machine learning และ AI (Artificial Intelligence) เพื่อที่จะเข้าถึงวิธีคิดของผู้ใช้ เรียกว่า search Intent.. เจตนาของผู้ใช้ search engine เมื่อเข้าพิมพ์คำชุดชุดหนึ่งและทำการค้นหา เมื่อเข้าใจถึงเรื่องของเจตนา search engine ก็จะแสดงผลได้แม่นยำขึ้น เช่นเขาพิมพ์เพื่อหาข้อมูล เพื่อที่จะซื้อของ หรือเพราะว่ากำลังทำวิจัยและสำรวจ ด้วยเหตุนี้เว็บไซต์ที่ optimize keyword ที่ได้ออกแบบเนื้อหาในรูปแบบ FAQ หรือคำนึงถึงความหมาย (semantics) ในการเลือกใช้คำและออกแบบเนื้อหา ก็จะมีโอกาสแรงกิ้งได้ดีกว่า
#6 – Website Security – ความปลอดภัยของเว็บไซต์
ปัจจัย SEO อันนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา เว็บไซต์ที่ดูแล้วมีความเสี่ยงเช่นมีการฝัง spyware หรือแมว หรือ malware ไม่น่าจะเป็นเว็บไซต์ที่ search engine คงอยากที่จะแนะนำให้ผู้ใช้ของเขาเข้าไปใช้งาน เพราะท้ายที่สุดแล้วเป้าหมายของ search engine คือคุณภาพของ search results และประสบการณ์ของผู้ใช้ของเขา หากมีผู้ใช้ Google คลิกตามที่ Google แนะนำไปสู่เว็บไซต์ที่มีไวรัส มี malware เยอะๆเข้า ชื่อเสียงของ Google เองก็จะไม่ดี ด้วยเหตุนี้ web security ความปลอดภัยของเว็บไซต์ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญมากในการทำ SEO
#7 – SEO Tags – การใช้ HTML Tag ให้เป็นประโยชน์
มี HTML Tag คนข้างเยอะที่เอามาใช้เพื่อช่วยเรื่องของ SEO ได้ดี หลายๆครั้งมันเป็นเรื่องของอย่าลืมเอามาใช้มากกว่า แต่ในบางกรณีมันเป็นเรื่องของการใช้ให้ถูกวิธี บาง tag ใช้ผิดแล้วกลับมีผลเสีย ที่แน่นอนมีอยู่ 3 tag ที่ไม่ควรพลาดได้แก่ Title Tag – Description Tag – H1 Tag ส่วน tag ที่มีความเสี่ยงสูงหากใช้ผิดวิธีได้แก่ NoIndex Tag และ Canonical Tag
สำหรับ SEO มือใหม่ถ้าอ่านแล้วเกิดความสับสนแนะนำให้ไปอ่านบทความ SEO คืออะไร และดูคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SEO ได้ที่นี่ด้วยค่ะ