ข้อกำหนดของ SEO เปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา และการตามมันให้ทันก็ไม่ง่ายเลย! เราเลยอยากจะแนะนำสิ่งต่าง ๆ ที่ควรทำเป็นอันดับแรก ๆ
ทบทวนอย่างรวดเร็ว: SEO คืออะไร?
เพื่อเป็นการเริ่มลงมือทำ SEO เรามาระลึกความทรงจำกันสักหน่อยดีกว่า การปรับแต่งเสิร์ชเอนจิน (Search Engine Optimization) คือการทำให้เว็บเพจของเราติดอันดับที่ดีขึ้นในเสิร์ชเอนจิน แล้วมันแปลว่าอะไรกันล่ะ? อันดับของเราก็คือตำแหน่งของเนื้อหาของเราบนหน้าผลลัพธ์ของเสิร์ชเอนจิน หรือ SERPs ใช่แล้วล่ะ พอเป็นเรื่องการตลาดดิจิทัลก็จะมีตัวย่อเยอะอย่างนี้ สามารถเข้าไปดูเรื่องตัวย่อต่าง ๆ ได้ที่ “คลังคำศัพท์ตัวย่อเกี่ยวกับการตลาดดิจิทัล: 20 คำสำหรับปี 2020” เผื่ออยากจะปัดฝุ่นสักหน่อย
กลับมาที่เรื่องอันดับ ถ้าเราอยู่อันดับ 1 ถือว่าสุดยอดมาก! นั่นหมายความเวลาที่คนค้นหาด้วยคำใดคำหนึ่งโดยเฉพาะ เว็บเพจของเราจะเป็นผัลลัพธ์แรกที่ขึ้นมาอยู่บนสุด (อันนี้จะไม่รวมถึงผัลลัพธ์ที่เป็นโฆษณาหรือผลลัพธ์ที่จ่ายเงินโปรโมต ซึ่งเราจะไม่พูดถึงเรื่องพวกนั้นในบทความนี้) เพราะฉะนั้นถ้าสามารถไปให้ถึงหน้าแรกได้ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่เพจส่วนมากทำไม่ได้

เอาล่ะ ทำความเข้าใจเบื้องต้นกันพอแล้ว ถ้าอยากเรียนรู้เกี่ยวกับ SEO มากกว่านี้ สามารถติดต่อเรามาผ่านเฟซบุ๊กหรือเว็บไซต์ของเราได้เลย
ได้เวลาเริ่มลงมือทำ SEO กันแล้ว
มาเริ่มกันเลย หากพูดถึงการตั้งค่าเพื่อการปรับแต่งให้เหมาะสม เราต้องเริ่มตั้งแต่ต้นเลย คีย์เวิร์ด (Keywords) เป็นรากฐานที่สำคัญของเว็บไซต์ เพื่อให้ติดอันดับได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงสร้างของเว็บไซต์ต้องถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้หน้าเพจแต่ละหน้าสอดคล้องกับคีย์เวิร์ดแต่ละชุดที่เกี่ยวข้องกับหน้าเพจนั้น ๆ
โครงสร้างเว็บไซต์
สำหรับตัวอย่างนี้ สมมุติว่าเรากำลังจะเปิดเว็บไซต์ที่ขายเกม นั่นเป็นตลาดที่กว้างมาก สิ่งที่เราอยากจะขายควรชี้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นเกมคอนโซล เกมคอมพิวเตอร์ และบอร์ดเกม เห็นได้ชัดว่าเราอยากให้เกมแต่ละประเภททำอันดับได้ดีในคีย์เวิร์ดแต่ละคำ และเราอยากดึงดูดคนที่ค้นหาเกมแต่ละเกมโดยเฉพาะ
เราต้องทำอะไรบ้าง? แน่นอนว่าเราต้องแตกโครงสร้างเว็บไซต์ออกมาเป็นหมวดหมู่ ซึ่งให้แต่ละหมวดหมู่มีคีย์เวิร์ดของตัวเอง ในภาพด้านล่างเป็นตัวอย่างโครงสร้างเว็บไซต์ที่ร่างขึ้นมาให้ได้เห็นกัน โฮมเพจ (Homepage) หรือหน้าเพจหลักจะเน้นคีย์เวิร์ดหลักคือคำว่า “เกม” และหน้าเพจรอง (Subpage) คือหมวดหมู่ทั้ง 3 หมวดหมู่ที่พูดถึงก่อนหน้านี้ (เกมคอนโซล เกมคอมพิวเตอร์ บอร์ดเกม)
เมื่อวางโครงสร้างของเว็บไซต์ได้แบบนี้ ธีมของเราก็ชัด เช่นเดียวกับกลุ่มเป้าหมายและคีย์เวิร์ดรองในแต่ละหน้าเพจ เราสามารถทำได้มากกว่านี้โดยการแต่ละหมวดหมู่เป็นหมวดหมู่ย่อยได้อีก ตัวอย่างเช่น เราสามารถแตกหมวดหมู่บอร์ดเกมเป็นอีกร้อย ๆ หมวดหมู่ ตามลิงก์นี้
อย่าลืมว่า “น้อยแต่มาก” หน้าเพจแต่ละหน้าควรเน้นคีย์เวิร์ดหลักแค่หนึ่งคีย์เวิร์ดและคีย์เวิร์ดรองอีกแค่สองสามคีย์เวิร์ด
เนื้อหาที่ได้รับการปรับแต่ง
เป้าหมายหลักคือการทำให้เป็นมิตรกับกูเกิล (Google Friendly) คติพจน์ของการตลาดดิจิทัลในศตวรรษที่ 21 คือ “Content is King” แปลตรงตัวได้ว่า เนื้อหาคือราชา หมายความว่าเนื้อหาสำคัญที่สุด เนื้อหาเราต้องน่าดึงดูด ให้ข้อมูลความรู้ และมีความเกี่ยวข้อง ความยาวของเนื้อหาก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญในการเริ่มทำ SEO ซึ่งความยาวของเนื้อหาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของหน้าเพจบนเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น มีข้อมูลสถิติที่แสดงว่าความยาวจำนวน 2,000 คำเป็นค่าเฉลี่ยสำหรับเนื้อหาขนาดยาว ที่เรียกว่าบล็อก (Blog) หรือบทความ
นั่นเป็นวิธีการมองแบบง่าย ๆ ที่ดี สิ่งสำคัญที่ต้องจำเอาไว้คือการสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและน่าดึงดูด เนื้อหาขนาดยาวทำให้มีการแชร์และแบ็กลิงก์ (Backlink) มากขึ้น หรือหมายถึงการที่คนอื่นลิงก์กลับมาหาหน้าเว็บไซต์เรามากขึ้นนั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการจัดอันดับเว็บไซต์ อย่าลืมใช้คีย์เวิร์ดด้วยนะ แต่อย่าใช้มากเกินไป กูเกิลดูออกเวลาที่เราพยายามยัดคีย์เวิร์ดลงไปในเนื้อหามาก ๆ

ถ้าอยากทำให้ชีวิตง่ายขึ้นล่ะก็ สิ่งที่ควรทำคือใช้เวิร์ดเพรส (WordPress) ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่าเวิร์ดเพรสเป็นระบบจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์ (Content Management Sysytem – CMS) ที่ดีที่สุดสำหรับ SEO มันทำให้เราสามารถทำเว็บไซต์ออกมาเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน น่าดึงดูดได้ง่ายขึ้น และมันเป็นการเริ่มทำ SEO ที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเมต้าไตเติ้ล (Meta-Titles) หรือเมต้าเดสคริปชั่น ( Meta-Descriptions) เวิร์ดเพรสมีให้ครอบคลุมทุกอย่าง และถ้าเป็นเรื่องการสร้างเนื้อหามันก็สอนเราแทบจะทุกขึ้นตอนและให้ข้อเสนอแนะที่ดีเชียวล่ะ
ไตเติ้ล (หัวเรื่อง) ที่ได้รับการปรับแต่ง
เดี๋ยว…อะไรนะ ใช่แล้ว ตาไม่ฝาดหรอก เราสามารถปรับแต่งไตเติ้ล (หรือหัวเรื่อง) ของหน้าเพจบนเว็บไซต์ได้ด้วย เมต้าไตเติ้ลคือข้อความที่กูเกิลจะแสดงเป็นไตเติ้ลของหน้าเพจสำหรับผลลัพธ์การค้นหาแต่ละอัน เพราะฉะนั้น ถูกต้อง เราต้องปรับแต่งมันด้วย ในไตเติ้ลควรมีคีย์เวิร์ดหลักที่เรากำหนดไว้ด้วย เช่น “2020 Digital Marketing Trends Thailand – Enabler Space”
สิ่งนี้จะบอกกับผู้ใช้งานว่าจะเจอกับเนื้อหาอะไรบนหน้าเพจนั้นเมื่อคลิกเข้าไปในลิงก์ และสำหรับเนื้อหาขนาดยาว อย่ายัดคีย์เวิร์ดลงไปในไตเติ้ลเยอะเกินไป แค่ที่เดียวก็พอแล้ว และพยายามอย่าให้มีความยาวเกิน 55 ตัวอักษร ไม่อย่างนั้นจะโดนกูเกิลตัดออก
เดสคริปชั่น (คำอธิบาย) ที่ชัดเจนและกระชับ
เดสคริปชั่น (หรือคำอธิบาย) หรือในที่นี้คือเมต้าเดสคริปชั่น คือข้อมูลที่แสดงอยู่ใต้เมต้าไตเติ้ลและยูอาร์แอล (ที่อยู่เว็บไซต์) บนหน้าเพจแสดงผลลัพธ์การค้นหาบนกูเกิล ต่อให้ไม่มีผลกับการจัดอันดับ ความชัดเจนและความสั้นกระชับของเมต้าเดสคริปชั่นก็มีผลกับอัตราการคลิกหรือ CTR (Click Through Rate) ของหน้าเพจอยู่ดี (บอกแล้วว่าตัวย่อเยอะ) ในยุคที่คนเรามีสมาธิท่ีสั้นลง คนเราก็อยากจะรู้ว่ากำลังจะเจอกับอะไรก่อนที่จะตัดสินใจคลิกเข้าไปในลิงก์ หน้าที่ของเราคือให้ข้อมูลที่ทำให้เขาตัดสินใจคลิกให้ได้
ถ้าเกิดเราลงมือทำด้วยเวิร์ดเพรส เราสามารถเพิ่มเมต้าเดสคริปชั่นได้ง่าย ๆ โดยการใช้ปลั๊กอิน (Plugins) ที่มีมาให้ หน้าเพจแต่ละหน้าบนเว็บไซต์ควรมีเดสคริปชั่นของมันเองและควรมีคีย์เวิร์ดอยู่ด้วย
กูเกิลแอนะลิติกส์ (Google Analytics) และกูเกิลเสิร์ชคอนโซล (Google Search Console)
สร้างเว็บไซต์ ทำแล้ว เนื้อหาเข้าเกณฑ์ดี เรียบร้อย หน้าเพจแต่ละหน้ามีเมต้าไตเติ้ลและเมต้าเดสคริปชั่นของตัวเอง เรียบร้อย นี่คือขั้นตอนสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด กูเกิลแอนะลิติกส์ (Google Analytics) เป็นซอฟต์แวร์ติดตามที่ทำให้เราสามารถตรวจสอบว่าผู้ใช้งานมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์เรายังไง หาเว็บไซต์เราเจอด้วยวิธีไหน ที่สำคัญคือฟรี! เป้าหมายหลักของเราคือให้ความรู้เรื่องการเริ่มลงมือทำ SEO และนี่เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ดีที่สุดที่มี กูเกิลแอนะลิติกส์ให้ข้อมูลสถิติที่เราสามารถนำไปใช้ปรับแต่งคีย์เวิร์ดสำหรับเว็บไซต์ของเราได้
ขั้นตอนต่อไปคือการเพิ่มเว็บไซต์ของเราเข้าไปในกูเกิลเสิร์ชคอนโซล (Google Search Console) นี่ไม่ใช่เครื่องเกมคอนโซลหรืออะไรนะ นี่เป็นแพลตฟอร์ม (Platform) ของกูเกิลสำหรับผู้ดูแลเว็บไซต์ (Webmaster) ในนี้เราจะได้เห็นข้อมูลสถิติที่แสดงประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ ทำให้เราสามารถประเมินประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์ได้จากข้อมูลต่าง ๆ เช่น ผลลัพธ์การค้นหาที่ไม่ได้จ่ายเงินโปรโมต (Organic Searches) อันดับคีย์เวิร์ด (Keyword Rankings) อัตราการคลิกสำหรับคีย์เวิร์ดแต่ละคำ จำนวนคนที่เห็นเว็บไซต์เมื่อค้นหาคีย์เวิร์ด (Keyword Impressions) และอื่น ๆ อีกมากมาย

ขั้นตอนต่อไปหลังจากการเริ่มลงมือทำ SEO
ขั้นตอนต่อไปล่ะ นั่นเป็นคำถามที่ดีที่ควรถามตัวเองเรื่อย ๆ ถ้าทำตามขั้นตอนและเคล็ดลับข้างต้นเรียบร้อยแล้ว ถือว่าเดินมาถูกทางและเข้าใกล้การทำ SEO ที่ประสบผลสำเร็จ อีกหนึ่งก้าวแล้ว อย่าลืมอัปเดตสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอยู่ตลอด เทคโนโลยีในยุคดิจิทัลเปลี่ยนแปลงเร็วดั่งความไวแสง และสุดท้าย หากต้องการข้อมูลหรือความช่วยเหลือเพิ่มเติม ติดต่อเราได้เพียงแค่คลิกเดียวเท่านั้น