SEO คืออะไร แล้วทำอย่างไรให้ดี

SEO คืออะไร

เรามาทำความเข้าใจ SEO แบบ fast-track จับใจความง่ายกันไหมคะ อันที่จริงแล้วการทำ SEO ไม่ยากเลย แล้วไม่มีเคล็ดลับพิเศษ สูตรพิเศษที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ rank บน Google ได้ดี แต่การทำ SEO ใช้เวลาและต้องอาศัยความขยันพอสมควร

ทำไมถึงใช้เวลาแล้วทำไมต้องขยัน?

เทียบให้เห็นภาพง่ายๆ ให้นึกถึงยาแก้ปวด และยาปฏิชีวนะ เมื่อเราไม่สบายมีไข้เราก็จะกินยาลดไข้ยาแก้ปวด แล้วเราก็จะรู้สึกสบายขึ้นแทบจะทันทีทันใด แต่เมื่อยาหมดฤทธิ์ไข้ก็จะกลับมาแล้วเราก็จะต้องกินยาอีก สมมุติเราไม่กินยาลดไข้แต่เรากินยาปฏิชีวนะ กินแล้วไข้ก็ไม่หายแต่เราก็ต้องขยันกินไปจนหมดโดส ผ่านไป 2 อาทิตย์แล้วก็ค่อยค่อยรู้สึกดีขึ้น หายดีแล้วก็ไม่ต้องกินยาแก้ปวดหรือยาปฏิชีวนะอีกต่อไป Google Ad การซื้อโฆษณาเพื่อที่จะโชว์อันดับต้นๆใน search engine ไหนก็ตามเปรียบเทียบเหมือนกันกินยาแก้ปวด เมื่อเราหยุดโฆษณา ranking เราก็จะหายไป การทำ SEO เทียบเหมือนการกินยาปฏิชีวนะ ทำไปก็ไม่ได้เห็นผลแต่ก็ต้องทำไปเรื่อยๆแล้วจะไปเห็นผลทีหลัง ที่สำคัญคือเมื่อเราจำเป็นจะต้องชะลอการทำ seo หรือมีการหยุดชั่วคราว เว็บไซต์เรายังคง rank ได้ดีและมี Organic Traffic มาเรื่อยๆ

SEO คืออะไร

SEO ย่อมาจากคำว่า Search Engine Optimization เป็นหนึ่งในวิธีการทำการตลาดออนไลน์เพื่อให้เว็บไซต์ของเราได้ติดอันดับบน search engine เช่น Google 

แล้วทำไมเมื่อพูดถึงการทำการตลาดออนไลน์ SEO เป็นหนึ่งในหลักการที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

ที่แน่นอนอยู่แล้วคือเมื่อได้ติดอันดับใน search engine เนี่ย เว็บไซต์ เนื้อหา product และบริการของ เรา จะมีคนเห็นเยอะมาก การค้นหาเฉลี่ย อยู่ที่ 3.8 ล้านครั้งต่อนาทีทั่วโลก

เพราะฉะนั้นถ้าเว็บไซต์ของเรา โชว์อยู่ในหน้าแรกของ Google search results เมื่อคนเกิดค้นหาบริการหรือ product ต่างๆ นั่นหมายความว่าเรามีโอกาสขายบริการขายของได้เยอะขึ้น ที่สำคัญการทำ SEO ไม่มีค่าซื้อโฆษณา (advertising cost) เพราะฉะนั้นเป็นหนึ่งในวิธีหลักของการทำการตลาดที่หลายธุรกิจให้ความสำคัญมาก

Key Concept ของ SEO ได้แก่อะไรบ้าง

คำจำกัดความเพื่อให้เข้าใจง่าย ให้คิดซะว่า SEO คือวิธีการจัดอันดับ (rank) สำหรับคำหลัก (keyword) ที่มีผู้ใช้ Google พิมพ์ค้นหาคนข้างเยอะ (search volume) และเปิดโอกาสให้ธุรกิจขายของได้มากขึ้น (conversion rate)

มาเข้าใจถึงคำหลักๆของการทำ SEO

Keyword หรือ Key phrase คือคำที่คนพิมพ์เข้าไปเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมบน search engine เช่น ‘รองเท้าสีแดง’ ‘ซ่อมมือถือ iphone’ ‘บริการทำ SEO’

Rank คือตำแหน่งที่โชว์เว็บไซต์ของเราในหน้า search results เมื่อ user พิมพ์ค้นหาข้อมูลตาม keyword

Search Volume คือจำนวนของคนที่ค้นหา keyword นั้นๆ ยกตัวอย่างคำว่ารองเท้าอาจจะมีคนค้นหา 5,00 คนต่อวัน และคำว่ารองเท้าสีแดงอาจจะมีสัก 500 คนค้นหาทุกวัน

Organic Traffic คือจำนวนของคนที่ค้นพบเว็บไซต์ของเราจาก search engine และได้เข้ามาใช้งาน

Click Rate คืออัตราของคนที่เจอเว็บไซต์เราบนเสิร์ชเอนจิน และได้คลิกต่อมาที่เว็บไซต์

Conversion Rate คืออัตราของคนที่มาเว็บไซต์เราจาก search engine และมีการขอข้อมูลเพิ่มเติม ลงสมัคร หรือมีการซื้อของบริการของเรา

แล้ว Search Engine มีกระบวนการในการเลือกที่จะโชว์เว็บไซต์ในตำแหน่งที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 หรือหน้า 1 หน้า 2 หน้า 3 ยังไง วิธีการจัดอันดับเว็บไซต์ของ Search Engine ขึ้นอยู่กับ อัลกอริทึม (algorithm) Google เองจะมีหลาย algorithm รวมไปถึงการใช้ AI (Artificial Intelligence) เพื่อที่จะจัดลำดับเว็บไซต์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ 

ยกตัวอย่างเช่นอัลกอริทึมที่เรียกว่าแพนด้า (Google Panda) ตัวนี้จะคอยดูเรื่องของคุณภาพของเนื้อหา content ของแต่ละเว็บเพจ แน่นอนอยู่แล้วเนื้อหาที่เขียนขึ้นมาดีกว่าก็จะมีโอกาสแรงได้สูงกว่า อีกตัวนึงที่มีบทบาทสำคัญคือตัวอัลกอริทึมที่เรียกว่าเพนกวิน (Google Penguin)

ซึ่งถ้าเราออกแบบเว็บไซต์ของเรา เตรียมเนื้อหาได้ค่อนข้างดี ตอบโจทย์แต่ละ algorithm ของ Google เราก็จะมีโอกาสแรงได้ดีขึ้น การ rank ได้ดี หมายความว่าจะมีผู้ชายเข้ามาที่เว็บไซต์ของเรามากขึ้น ส่งผลดีให้กับธุรกิจของเรา

4 เสาหลักของการทำ SEO

ทีนี้หลังจากเราเข้าใจแล้วว่า SEO คืออะไรมาดูกันว่าแล้วจะทำอย่างไรให้เว็บไซต์ติดอันดับ ranking ได้ดี มาเริ่มต้นกันที่ 4 เสาหลักของ search engine optimization (4 pillars of SEO) ได้แก่ Technical SEO Content Onsite และ Offsite

Technical SEO คือหลักการทำ SEO จากมุมมองของเทคโนโลยี ยกตัวอย่างเช่นการเขียนโค้ดให้ crawler และ spider เข้าใจง่าย การ optimize server และ web element ให้โหลดได้เร็วที่สุด หรือการวางโครง sitemap site-structure เป็นต้น

Content คือการวางแผนเตรียมเนื้อหาของเว็บไซต์ให้มีคุณภาพที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ คุณภาพในนี้ประกอบไปด้วยวิธีที่เขียนขึ้นมา ความลึกของเนื้อหา วิธีการเลือกและ optimize keyword เป็นต้น

On-site SEO คือการทำ SEO บนเว็บไซต์ของเรา เช่นการ user experience, optimize internal link ดูเรื่องของ crawl budget และการใช้ tag เช่น meta tag hreflang และ canonical tag เป็นต้น

Off-site SEO คือการทำ SEO นอกเหนือจากเว็บไซต์ของเรา ตั้งแต่เรื่องของ referral domain, backlink, social signals และ co-citation เป็นต้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SEO

ต้องมี Content ใหม่ๆบนเว็บไซต์เท่าไหร่ต่ออาทิตย์เพื่อที่จะติดอันดับ?

อันที่จริงแล้วอันนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของตัว content ที่สำคัญกว่าคือรูปแบบธุรกิจของคุณ ถ้าดูตามหลักแล้วมันดูเหมือนว่าการมีเนื้อหาเยอะหมายความว่าเราก็จะได้ organic traffic เยอะขึ้น ถ้ามีทั้งนั้นถ้าเรามีเนื้อหาเยอะ แต่ว่า web speed ช้า จะมี content เยอะขนาดไหนโอกาสที่จะแรงมันก็ยังคงไม่ดี แนะนำให้ดูภาพรวมตั้งแต่รูปแบบธุรกิจของเรา มีนักเขียน resource ที่จะเตรียมเนื้อหาได้เยอะขนาดไหน คำว่าเนื้อหาที่มีคุณภาพดีของเราหน้าตาเป็นยังไง เราตั้งเป้าไว้ที่แบบไหน และ SEO score ในด้านอื่นๆของเราทำได้ดีขนาดไหน

ใช้ WordPress ทำเว็บไซต์ดีสำหรับ SEO ไหม?

WordPress เป็น CMS (content management system) ที่ได้รับความนิยมสำหรับ SEO อยู่แล้ว จะมีหลาย SEO plugin เช่น yoast ที่ช่วย webmaster ได้ดี ตัว wordpress เอง support เรื่องของ Smart URL มีระบบ tags ในตัว และเพิ่มเนื้อหาเว็บไซต์ได้คนข้างง่ายโดยที่ไม่ต้องรู้วิธีเขียนโค้ด

ถ้าเราซื้อ backlink เราจะแรงได้เร็วขึ้นไหม?

ไม่แนะนำให้ซื้อ backlink ารทำแบบนี้มันเรียกว่า Black Hat SEO อย่างแรกเลยคือเราจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่เราซื้อมีคุณภาพดีหรือไม่ดียังไงบ้าง หากเป็นสแปมลิงค์ SEO Reputation ของเว็บไซต์ของเราก็พวงไปด้วย ทำแบบนี้เสี่ยงโดน penalty แทนที่จะช่วยให้เว็บไซต์ rank โอกาสที่จะทำให้เว็บไซต์สูญเสีย ranking และ organic traffic มันสูงกว่า

เครื่องมือหลักๆสำหรับการทำ seo มีอะไรบ้าง?

สองอันที่ขาดไม่ได้เลยคือ Search Console และ Google Analytics นักเหนือจากนั้นแนะนำตัว ahrefs หรือเทียบเท่า สำหรับดูภาพรวม และ Screaming Frog SEO Spider