ปกติแล้ว เวลาใช้ Adwords คุณทำยังไงบ้างคะ? ทำตามขั้นตอนทั่วไปใช่มั้ยล่ะ: ตั้งค่าแคมเปญ? เรียบร้อย! ตั้ง Adgroup ใส่คีย์เวิร์ด เขียน ad copy? เรียบร้อย! ในเมื่อทำเรื่องพื้นฐานเรียบร้อยหมดแล้ว ก็แปลว่าเหลือแค่นั่งรอรายได้ที่จะไหลมาเทมาแล้วน่ะสิ? ผิดนะคร้าบบบ จริง ๆ แล้วนี่แค่ประมาณ 10% ของสิ่งที่คุณต้องทำทั้งหมดเท่านั้น
Adwords นับเป็นเครื่องมือโฆษณาที่ทรงพลังมาก และ Google ก็เต็มไปด้วยลูกค้าในอนาคตจำนวนมหาศาล แต่ความคิดที่ว่าขอแค่เข้าใจการใช้ Adwords ก็พอแล้วที่จะสร้างรายได้ออนไลน์ ก็ยังเป็นความคิดที่ผิดอยู่ดี ถึง Adwords จะมีฟีเจอร์ และฟังก์ชันมากมายให้คุณใช้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้เองอยู่ดีว่าจะใช้ฟีเจอร์เหล่านี้อย่างไรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณาอย่างต่อเนื่อง
มาค่ะ มาดู 5 เทคนิค Adwords ที่เป็นประโยชน์แต่แอบน่าสงสารเพราะดูเหมือนคนจะไม่ค่อยใช้กัน
1 – การทำ DYNAMIC KEYWORD INSERTION
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า Ad copy เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของแคมเปญโฆษณา Ad ที่มีประสิทธิภาพจะทำให้เกิดการคลิกจำนวนมาก และเกิดโอกาสที่จะได้ Conversion ส่วน Ad ที่ไม่มีคุณภาพก็น่าจะทำให้ได้จำนวนคลิกที่ไม่สู้ดีนัก
โฆษณาที่มีลักษณะไม่อัพเดท, กว้าง ๆ ไม่ชัดเจน, หรือไม่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอาจทำให้ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาของคุณตกต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ เราจะนั่งรีเสิร์ชคีย์เวิร์ดตั้งหลายชั่วโมง และทำ Landing page ให้ดีไปทำไม ถ้าทั้งหมดที่ลงทุนไปจะได้กลับมาแค่คลิกสองคลิกเพราะมีปัญหาเรื่อง Ad text จริงมั้ย?
นี่แหละ ถึงเวลาแล้วที่ต้องใช้ Dynamic Keyword Insertion สร้าง Ad ที่ปรับเปลี่ยนได้แบบ Real time และต่อไปนี้เป็นตัวอย่างง่าย ๆ ที่จะทำให้คุณเห็นว่าเจ้าสิ่งนี้ทำงานยังไง คนทำโฆษณาทั้งหลายน่าจะรู้จักกฎทั่วไปในการเพิ่มคะแนนด้านคุณภาพของโฆษณาดี ซึ่งก็คือการสร้าง Ad ที่สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่ใส่เข้าไปใน Adgroup ซึ่งจะมีข้อเสียคือ ถ้าคุณต้องการเพิ่มคะแนนคุณภาพในระดับเว็บไซต์บริษัท ก็ต้องทำเยอะจนเบื่อกันไปข้างนึงเลยทีเดียว แต่ด้วยการทำ Dynamic keyword insertion จะทำให้คุณสามารถสร้างพื้นที่สำหรับแสดงคีย์เวิร์ดแบบยืดหยุ่นใน Ad ตามคำค้นของผู้ใช้ได้
ตามมาทำความรู้จักกับหน้าตา และวิธีเซ็ทอัพกันค่ะ
นอกจาก keyword insertion คุณยังอัพเดทตำแหน่งคีย์เวิร์ดได้อย่างยืดหยุ่น แล้วก็ตั้งกฎให้ Google Adwords แสดงโฆษณาโปรโมชันเมื่อคุณรัน Ad ได้ด้วยนะ DKI ไม่ใช่แค่วิธีที่ดีที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ และคะแนนคุณภาพของโฆษณาของคุณเท่านั้น แต่ยังช่วยคุณประหยัดเวลาในการทำงาน Copy-Paste ด้วย เอาเวลาไปใช้กับงานสร้างสรรค์แบบวางกลยุทธแคมเปญใหม่ และการ Map Journey ของลูกค้าดีกว่าว่ามั้ย?
2 – บล็อก IP คู่แข่ง
Pay-per-click นั้นมีการแข่งขันกันสูงมาก ถ้าคุณรู้ว่าคู่แข่งเป็นใคร IP อะไร ก็สามารถบล็อกคู่แข่งเหล่านั้นได้ ไม่ต้องให้มากินงบโฆษณากัน สิ่งนี้ทำได้ในหน้าตั้งค่าแคมเปญ แท็บ IP Exclusion บล็อกได้ตั้ง 500 IP แน่ะ จัดเลย รออะไร
แต่ถ้าคุณตกเป็นเป้าการแกล้งคลิก Ad กล่าวคือมีผู้ไม่หวังดีมาคลิกโฆษณาของคุณรัว ๆ เพื่อให้คุณเสียเงินเล่น ๆ ก็มีปาดเหงื่อกันล่ะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่มีทางที่คุณจะได้ ROI จากค่าใช้จ่ายที่เสียไปได้เลย
ถ้าคุณสามารถเข้าไปดูล็อกข้อมูลของเซิร์ฟเวอร์ได้ ก็ลองดูว่า IP ไหนมี Spike ผิดปกติบ้าง แต่ถ้าเข้าไปดูไม่ได้ หรือไม่มั่นใจในความรู้เรื่องเซิร์ฟเวอร์ของคุณเอง เบื้องต้น คุณสามารถเช็คได้ด้วยการดู Pattern ในแอคคเคาท์ Adwords ได้
สิ่งที่คุณต้องมองหาคือ Spike ที่ผิดปกติในส่วนของ Impression และ/หรือ จำนวน Click ประกอบกับจำนวน Conversion ที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเป็นพิเศษ แล้วก็ลองดูการเพิ่มขึ้นที่ผิดปกติของ bounce rate ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Landing page หรือการทดสอบ Ad text A/B
3 – แอบส่องความเคลื่อนไหวคู่แข่ง
การดู Auction Insights report จากแอคเคาท์ Adwords ของคุณเป็นวิธีหนึ่งในการแอบส่องความเคลื่อนไหวคู่แข่งที่มีความแม่นยำค่อนข้างสูงมาก หรือจะส่องผ่านช่องทางอื่นเช่น Ahrefs ก็ได้นะ ถ้าอยากเช็คข้อมูลที่คุณกำลังสนใจเทียบกับเครื่องมือจากภายนอก
แต่ข้อเสียก็คือการที่เราจะไม่ได้ข้อมูลเจาะลึกถึงขนาดตีออกมาเป็นเทรนด์ตามช่วงเวลาต่าง ๆ หรือเปรียบเทียบข้อมูลอย่างหรูได้เช่น เราจะไม่ได้ข้อมูลในระดับที่จะทำให้รู้ว่าประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาของเราสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากฝั่งคู่แข่งอย่างไร เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ถ้าคุณจริงจังกับการวิเคราะห์ข้อมูล (data analytics) และต้องการข้อมูลเชิงลึก ก็สามารถลองใช้เครื่องมือเพิ่มเติม และ Scripts สำหรับดูข้อมูลเชิงลึกฝั่งคู่แข่งเพิ่มเติมใน Adwords ได้ เช่นตัวอย่างต่อไปนี้โดย BrainLabsDigital
4 – ตัวนับถอยหลัง: เทคนิคสุดคลาสสิก
เทคนิคหนึ่งในการออพติไมซ์ Adwords ที่แสนง่ายแต่ส่วนใหญ่จะถูกมองข้ามก็คือสุดยอด Ad ประเภท Call-to-action ที่อัพเดทตัวเองได้ชนิดนี้ไง ใช้ Ad แบบนี้กับแคมเปญที่จะใช้ในการ Remarketing (RLSA) แล้วคุณก็จะได้หนทางในการอัพเดทข้อมูลให้กลุ่มเป้าหมายทราบ แถมยังกระตุ้นให้ลูกค้าเป้าหมายรู้สึกถึงความจำเป็นต้องรีบตัดสินใจมากขึ้นด้วย
ใช้แล้วหน้าตา Ad จะเป็นแบบนี้ค่ะ:
ส่วนการตั้งค่าก็จะเป็นแบบนี้:
ถ้าคุณยังไม่คุ้นเคยกับแคมเปญประเภท Remarketing List for Search Ads (RLSA) ก็ควรลองทดสอบการทำงานของมันดูก่อน หากจะแนะนำ RLSA แบบง่าย ๆ มันคือสิ่งที่ทำให้คนทำงานโฆษณาสามารถส่งโฆษณาที่ผ่านการปรับแล้วไปบน Google หรือเว็บไซต์อื่น ๆ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณแล้วเห็นอีก (ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าอยากซื้อของเรามากขึ้น)
5 – ประเมิน ASSISTED CONVERSIONS
หลาย ๆ ครั้งที่เรารันAd แบบ Pay-per-click เรามักจะดูข้อมูลด้าน Performance จาก ‘Last click’ กันใช่มั้ยคะ? จริง ๆ แล้วนี่อาจเป็นจุดบอด เพราะหากเป้าหมายในการรัน Ad ของคุณคือ Conversion (กล่าวคือ รายได้ และปริมาณการซื้อจริง) ก็อาจมีคีย์เวิร์ดเจ๋ง ๆ ที่เป็นตัวทำให้เกิด Conversion นั้น ๆ อยู่ก็ได้
หากคุณประเมินประสิทธิภาพคีย์เวิร์ดจาก ‘Last click’ อย่างเดียว ก็อาจเกิดกรณีที่คุณตัดสินใจหยุดการใช้คีย์เวิร์ดเหล่านั้นชั่วคราว แล้วก็มานั่งงงว่าทำไมปริมาณการซื้อถึงลดลง แทนที่จะเพิ่มขึ้นก็ได้
ลองหันมาพิจารณาข้อมูล ‘Assisted Conversion’ ก่อนจะหยุดการใช้, ลบ หรือเปลี่ยนไปใช้ Negative keywords ดูนะคะ แล้วทีนี้ คุณก็อาจเปลี่ยนมาอัพราคา Bid สำหรับคีย์เวิร์ดชุดนี้แทน แล้วได้ Conversion มากกว่าเดิมก็ได้นะ
ถ้าคุณอยากลองดูก็ทำได้ด้วยการเพิ่มคอลัมน์ในหน้าข้อมูลแคมเปญสำหรับ ‘Assisted Conversions’ ซึ่งจะอยู่ในเมนู ‘Search Funnel’
เท่านี้ก็เรียบร้อย!
และนี่คือ 5 วิธีสุดเวิร์คที่อาจอยู่นอกสายตาของคนส่วนใหญ่ในการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ Adwords สำหรับคุณค่ะ ถ้าต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Adwords ทีมของเราจะจัดอีเวนท์พบปะแชร์ความรู้ด้านดิจิทัลในกรุงเทพเป็นระยะทุกปีค่ะ หากสนใจเข้าร่วม ก็ติดต่อชาวทีม Enablers ของเราเพื่อสอบถามข้อมูลอีเวนท์ครั้งต่อไปได้เลยนะ